
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา สหภาพยุโรปบังคับมือถือทุกแบรนด์ใช้ USB-C ได้ร่วมกันลงนามในข้อตกลงชั่วคราว เพื่อบังคับใช้พอร์ตประเภทเดียวในสินค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่วางจำหน่ายในยุโรปทั้งหมดจะต้องใช้พอร์ต USB Type-C หรือ USB-C เท่านั้น ภายในปี ศ.ค. 2024 ไอทีรอบรู้ จะพาไปดู
EU คืออะไร

EU (European Union) หรือสหภาพยุโรป เป็นสหภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง ประกอบด้วยรัฐสมาชิก 27 ประเทศ อยู่ภายในผ่านระบบกฎหมายทำให้เป็นมาตรฐานซึ่งใช้บังคับในรัฐสมาชิกทุกประเทศ นโยบายสหภาพยุโรปมุ่งประกันการเคลื่อนย้ายบุคคล สินค้า บริการและทุนอย่างเสรีในตลาดเดี่ยว ตรากฎหมายด้านยุติธรรมและกิจการในประเทศ และธำรงนโยบายร่วมกันด้านการค้า เกษตรกรรม การประมงและการพัฒนาภูมิภาค
EU บังคับมือถือทุกแบรนด์ใช้ USB-C ภายในปี 2024

เพื่อลดการซื้อหัวชาร์จใหม่ และไม่ต้องทิ้งสายชาร์จเก่าเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ EU จึงต้องบังคับให้มือถือและอุปกรณ์ไอทีประกาศบังคับใช้ USB-C ในมือถือทุกแบรนด์ โดยมีมติจาก EU ให้ประกาศบังคับใช้ในช่วงก่อนสิ้นปี 2024 นอกจากนั้นไม่ใช่เพียงแค่โทรศัพท์มือถือเท่านั้น ยังรวมถึงอุปกรณ์ Gadget พกพาอื่น ๆ ด้วย เช่น แทบเล็ต, แล็ปท็อป, หูฟัง, กล้องดิจิทัล, เครื่องเล่นเกม, คีย์บอร์ด-เมาส์, ลำโพงไร้สาย ไปจนถึงอุปกรณ์นำทาง GPS แท็บเล็ต คีย์บอร์ด กล้องดิจิทัล เกม ลำโพงแบบพกพา ต้องออกแบบให้ใช้กับ USB-C ด้วย สังเกตได้ว่าตอนนี้ Laptop หลายตัวก็เริ่มชาร์จด้วยผ่าน USB-C แล้วเหมือนกัน
เมื่อบังคับใช้ USB-C มีผลกระทบต่อใครมากที่สุด

เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมากทางสหภาพยุโรปได้กำหนดมาตรฐานพอร์ต ทำให้สายชาร์จไฟมือถือที่มีมากกว่า 30 ประเภท ลดลงเหลือเพียง 3 ประเภทเท่านั้น โดยยี่ห้อที่เป็นปัญหาที่สุดก็คือ Apple ที่ใช้พอร์ต Lightning อยู่เพียงเจ้าเดียว คิดเป็นสัดส่วนราว ๆ 20% ของมือถือทั้งหมดที่ใช้งานในยุโรป โดย Apple ก็อ้างว่าการกำหนดมาตรฐานและบังคับให้ใช้เหมือนกันหมด ย่อมขัดขวางการเกิดนวัตกรรมในอนาคตค่ายที่ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ จากข้อบังคับดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ของ Apple โดยตรง โดยเฉพาะ iPhone ที่ใช้พอร์ต Lightning มาตลอดหลายปี และอาจทำให้ iPhone 14 series ที่กำลังจะเปิดตัวปลายปีนี้ต้องเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB Type-C (USB-C) ด้วย
ข้อดีเมื่อ EU บังคับมือถือทุกแบรนด์ใช้ USB-C ภายในปี 2024

สำหรับข้อดีที่อยู่ภายใต้ข้อบังคับใหม่นี้ ผู้บริโภคในยุโรปจะสามารถชาร์จอุปกรณ์ทุกประเภทได้ด้วยสายชาร์จ USB Type-C (USB-C) เพียงเส้นเดียว ไม่จำเป็นต้องมีสายชาร์จหลาย ๆ แบบอีกต่อไป ช่วยให้เกิดการใช้ซ้ำมากขึ้น และช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดเงินได้มากถึง 250 ล้านยูโรต่อปี (ราว 9.2 พันล้านบาท) อีกทั้งยังลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้ถึง 11,000 ตันต่อปีเลยทีเดียว สำหรับแนวคิดเรื่องการบังคับใช้พอร์ตเพียงรูปแบบเดียววนเวียนอยู่ในหน่วยงานของสหภาพยุโรปมาเกือบทศวรรษแล้ว เนื่องจากการมีพอร์ตที่หลากหลายทำให้เกิดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
